เตือนภัย! มิจฉาชีพทำเว็บลอยกระทงออนไลน์ หลอกดูดข้อมูลส่วนตัว
ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยมิจฉาชีพแฝงตัว ทำเว็บลอยกระทงออนไลน์ หลอกเอาข้อมูลส่วนตัว-ข้อมูลการเงิน ย้ำวิธีป้องกัน หลีกเลี่ยงกดเว็บไซต์ปลอม กรอกข้อมูลเท่าที่จำเป็น ไม่เปิดเผยข้อมูลสำคัญลงโซเชียลมีเดีย
โฆษก บช.สอท. ขอให้ระวังการเอาข้อมูลส่วนตัวจากเว็บไซต์
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 พันตำรวจเอกกฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยมิจฉาชีพ มักจะฉวยโอกาสใช้สถาการณ์วันที่สำคัญลงมือก่อเหตุ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ดังนี้
เนื่องในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 ถือว่าเป็นวันลอยกระทง ผู้คนส่วนใหญ่ก็ออกมาทำกิจกรรม ร่วมกันสืบทอดประเพณีอันดีงาม และมีผู้คนในบางส่วนที่ไม่ได้เดินทางออกมาร่วมกิจกรรม เพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่าง โดยจะใช้บริการลอยกระทงออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานภาคเอกชน ในส่วนนี้จะมีการให้ประชาชนกรอกข้อมูลส่วนตัว
เพื่อให้อธิษฐานขอพรออนไลน์ในการลอยกระทงออนไลน์
ซึ่งเหล่ามิจฉาชีพอาจจะอาศัยโอกาสในวันสำคัญดังกล่าวสร้างเว็บไซต์ปลอมขึ้นมาทั้งหมด หรือเว็บไซต์ปลอมที่คล้ายคลึงกับเว็บไซต์จริง เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนกรอกข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลทางการเงิน ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์มือถือ หมายเลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร เลขบัตรเครดิต เลข cvv หลังบัตร 3 หลัก รหัส OTP เป็นต้น
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นการนำข้อมูลไปเข้าถึงบัญชีเฟซบุ๊ก Line โดยผิดวัตถุประสงค์ แล้วไปหลอกยืมเงินคนอื่น หรือว่าใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้า หรือว่าถูกโอนเงินจากบัญชีธนาคาร หรือไปแอบอ้างทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย
บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และ พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ความสำคัญและมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนตัวของประชาชนไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ โดยกำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รีบวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดใน
สื่อโซเชียลมีเดียทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่องและจริงจัง พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แนวทางป้องกันให้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อของเหล่ามิจฉาชีพ
มาตรา 343 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การกระทำดังกล่าวจะมีความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ “โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โฆษก บช.สอท. ควรตรวจสอบเว็บไซต์ว่าให้กรอกข้อมูลที่จำเป็นหรือไม่
โฆษก บช.สอท.กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเวลาปัจจุบันการใช้งาน หรือเข้าถึงบริการต่าง ๆ บนสื่อสังคมออนไลน์ ควรตรวจสอบให้ดีและระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ซึ่งมิจฉาชีพอาจจะใช้โอกาสหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวไปเเสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างได้ จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ถึงวิธีหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนตัว พร้อมแนวทางการป้องกัน ดังต่อไปนี้
1.ระวังเว็บไซต์ปลอม หรือเว็บไซต์เหมือน หากต้องการเข้าเว็บไซต์ใดที่ให้พิมพ์หรือกรอกชื่อเว็บด้วยตัวเอง
2.อย่ากดลิงก์ที่เเนบมากับอีเมล์ หรือข้อความสั้น (SMS) ที่น่าสงสัย ไม่ทราบที่มา
3.ถ้าต้องกรอกข้อมูล ควรกรอกเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ถ้ามีการขอข้อมูลในส่วนที่ไม่จำเป็น ให้สันนิษฐานได้ว่าเป็นมิจฉาชีพอย่างแน่นอน ถ้าไม่แน่ใจให้ติดต่อสอบถามกลับไปยังหน่วยงานของภาครัฐ หรือภาคเอกชนได้โดยตรง
4.ไม่โพสต์ข้อมูลจำเป็นลงในสื่อสังคมออนไลน์ และควรตั้งค่าความเป็นส่วนตัวจำกัดผู้เข้าถึงข้อมูล
5.ตั้งรหัสผ่านให้คาดเดาได้ยาก เช่น ใช้อักษรตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ ใช้อักขระพิเศษ ตัวเลข มารวมกัน อย่าใช้ชุดเลขที่เกี่ยวข้องกับวันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ และเปิดใช้งานการเข้าถึงแบบหลายๆชั้น เช่น การใช้ร่วมกับ OTP หรือการยืนยันตัวตนหลายปัจจัย
อีกทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเก็บข้อมูลส่วนตัวของประชาชน ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 อย่างเคร่งครัด เช่น การให้ความคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล ด้วยการปกป้องข้อมูลส่วนตัวที่ระบุเจ้าของข้อมูลได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าพบเบาะแสการกระทำผิด หรือข้อขัดข้องใด ๆ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สายด่วนหมายเลข 1441 หรือหมายเลขโทรศัพท์ 08-1866-3000 ตลอด 24 ชั่วโมง และแจ้งความออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com